ในอนาคตอีก 3 ปีข้างหน้า จะลำบาก และ หางานทำยากมากขึ้น

ในอนาคต อีก 3-5 ปีข้างหน้า งาน 50% ของมนุษย์จะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ…. ในอนาคตอันใกล้นี้ คนกว่าครึ่งจะต้องโดนปลดออกจากงาน เพราะการมาแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ และเครื่องจักรต่าง ๆ ถูกสร้างขึ้นจากฝีมือของมนุษย์นั่นเอง สร้างมาเผื่อใช้งานโดยตรง

และ ดูเหมือนว่าเรื่องเหล่านี้จะไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้ว เพราะในช่วงที่ผ่านมาเราต่างเห็นบริษัทต่าง ๆ ทยอย  ปลดพนักงานออกและแทนที่พนักงานเหล่านั้นด้วยเครื่องจักร

ข้อที่ 1 : การทำงานแบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ

พนักงานในไลน์ หรือ เจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ที่ต้องทำงานแบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ เช่น แพคของใส่กล่อง จัดเรียงสินค้าในคลัง นับสต๊อกสินค้าหรือจัดเรียงสินค้า ไม่ได้ใช้การคิดวิเคระาห์ หรือการตัดสินใจใด ๆ

จึงเป็นเหตุผลอันง่ายที่จะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์จริง ๆ เพราะเป็นงานที่ง่ายต่อการสร้าง และออกแบบเครื่องจักให้มาทำงานแทนจึงไม่ต้องอาศัยกลไกลการทำงานอะไรที่ซับซ้อน

อีกทั้ง หุ่นยนต์ไม่เรียกร้องขึ้นเงินเดือน ไม่ ขาด ลา มาสาย ไม่บ่น ไม่หยุดงานประท้วง ไม่เรียกร้องสวัสดิการเพิ่ม

ข้อที่ 2 : คนที่ไม่เรียนรู้อะไรเพิ่ม

ยกตัวอย่าง มีเพื่อนผมคนหนึ่งทำงานที่ท่าเรือคอยเช็คจำนวนสินค้าในคลัง เป็นงานง่าย ๆ ที่เหมือนจะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ในอนาคต

เมื่อทำงานปีแรกเขาก็ค้นพบว่ามีลูกค้าสั่งสินค้าชิ้นชนิดหนึ่งเยอะมากในสต๊อก เลยเริ่มศึกษาการขายของออนไลน์แบบ จริง ๆ จัง ๆ และ ทดลองขายสินค้าไปด้วย ทุกวันหลังจากทำงานเสร็จ วันละ 2 ชั่วโมง

ผ่านไป 5 ปี พอมีเงินทุนก้อนหนึ่ง และ เริ่มมองเห็นโอกาส และ ช่องทางธุรกิจ จึงเดินทางไปติดต่อรับของจากบริษัทผู้ผลิตโดยตรง ทำให้ได้ราคาต้นทุนที่ถูกกว่าคนอื่น จึงขายทำกำไรได้มากกว่าคนอื่น ธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็ว ผ่ายไปอีก 5 ปี เขาก็เปิดบริษัทของตัวเอง

ขณะที่เพื่อน ๆ ที่ทำงานด้วยกันทะยอย โดนปลดออกจากงานในคลังสินค้าและใช้เวลายุ่งอยู่กับการหางานใหม่ เขากลับมุ่งหน้าทำธุรกิจ และใช้เวลาอยู่กับการดูแลบริษัทใหม่ของตนเอง

ตลอดระยะเวลาแห่งงานเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เขาไม่เคยหยุดทำก็คือ ใช้เวลานอกเหนือจากการทำงาน ไปกับการเรียนรู้ ยุคสมัยนี้เป็นยุคแห่งการเรียนรู้ ความรู้เติบโตขึ้นในอัตราที่ก้าวกระโดด

ทุกคนมีอินเตอร์เน็ต สามารถเข้าถึงความรู้ต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วแค่ปลายนิ้ว อยู่ที่ว่าคุณจะใช้โอกาสที่มีไขว่คว้า หรือ นั่งรอวันถูกแทนที่

ข้อที่ 3 : คนที่ไม่กล้าเผชิญโลกที่กว้างขึ้น

หลังเรียนจบ Li Ting และ Tan Si เข้าไปฝึกงานที่บริษัทบัญชีแห่งหนึ่งด้วยกัน หลังหมดระยะฝึกงาน บริษัทเสนอให้ไปศึกษางานที่สำนักงานใหญ่ในต่างประเทศ 2 ปี แต่ได้เงินเดือนครึ่งเดียว ไม่มีค่าคอมมิชชั่น Li Ting รู้สึกว่าเงินเดือนน้อยเกินไป แถมไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในต่างแดน ก็เลยไม่เอา

ส่วน Tan Si กล้าตัดสินใจเลือกไปสำนักงานใหญ่ที่ต่างประเทศ ในมุมมองของเธอ คือ การได้เดินทางไปเปิดหูเปิดตาที่ต่างประเทศแถมยังได้เงินเดือน เป็นเรื่องที่คุ้มแสนคุ้ม ผ่านไป 5 ปี Tan Si กลับมาที่บริษัทในฐานะหัวหน้าโครงการบริษัทที่เปิดสาขาใหม่ รายได้หลักล้านต่อเดือน

ส่วน Li Ting ยังคงทำงานในตำแหน่งเดิม เงินเดือนในตอนนี้ไม่ถึงหลักแสนเลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่า Tan Si ตัดสินใจถูก หรือ Li Ting ตัดสินใจผิด เพราะทั้งคู่ต่างเลือกสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดให้ตนเอง แต่เมื่อเวลาที่ผ่านไปจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเราในอดีต จะพาเราก้าวหน้าขึ้นได้หรือไม่

ข้อที่ 4 : การทำงานร่วมกับคนอื่นไม่เป็น

บริษัทต่างชาติแห่งหนึ่ง ให้เงินผู้สมัครงาน 75 บาท ให้พวกเขาไปหาอะไรกินด้วยกัน

6 คนไปถึงร้านอาหารด้วยกัน แต่ข้าวจานหนึ่งอย่างต่ำ 15 บาท เงินที่พวกเขามีไม่พอจะซื้อข้าวคนละจาน ก็เลยกลับไปบริษัทอย่างหงุดหงิด

พอถึงบริษัท ประธานบริษัทรู้เข้าก็ส่ายหน้า : “ขอโทษด้วย พวกคุณไม่เหมาะกับบริษัทเรา”

ร้านอาหารร้านนั้น มีโปรโมชั่นซื้อ 5 แถม 1 หรือถึงแม้ไม่มีโปร ก็ยังขอจานเปล่ามาหนึ่งใบ แล้วสั่งข้าว 5 จานมาแบ่งกันกินได้ แต่ผู้สมัครทั้ง 6 คนไม่มีใครคิดว่ามาด้วยกัน เป็นทีมเดียวกัน

ทุกคนต่างคิดถึงแต่ตัวเอง ถึงได้มือเปล่ากลับไป

นักปรัชญากล่าวไว้ว่า : “แต่ละคนก็เหมือนกิ่งไม้หนึ่งกิ่ง ง่ายที่หัก แต่ถ้าคุณเอากิ่งไม้หลายๆกิ่งมามัดรวมกัน ก็แข็งแรงได้เหมือนต้นไม้ใหญ่เลยทีเดียว”

ประเภทที่ 5 : คนที่ไม่เข้าใจการลงทุนในตัวเอง

เรามักจะได้ยินคำเตือนว่า… ” อย่าใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย “

แต่ถ้าเราเก็บเงินได้ 1 แสนต่อปี ภายใน 10 ปี เก็บได้ 1 ล้าน นี่คือเก่งหรอ…?

ไม่ใช่…! เพราะเมื่อคุณใช้เวลา 10 ปีถึงจะเก็บเงินได้ 1 ล้าน

คนอื่นอาจจะใช้เวลาแค่ปีเดียว….!!

ตอนที่คุณยังเยาว์วัยคุณต้องรู้ว่าจะลงทุนกับตัวเองยังไง

ถ้าทุกเดือนคุณเอาเงินส่วนหนึ่งมาลงทุนกับตัวเอง…

บางคน ” ไปเรียนคอสเสริมหลังเลิกงาน “ อาจไม่ได้รวยในทันที แต่ได้รู้จักคนมากมายที่นำพาโอกาสดี ๆ เข้ามาในชีวิต

บางคน ” ไปเข้าฟิตเนสออกกำลังกาย “ จนค้นพบช่องทางธุรกิจ เปิดยิม ขายอาหารเสริมสำหรับคนรักสุขภาพ

บางคน ” ออกเดินทาเที่ยวรอบโลก “ ไปเจอธุรกิจใหม่ๆที่น่าสนใจในต่างประเทศ นำไอเดียกลับมาต่อยอดเป็นของตัวเอง

หลายปีผ่านไปคุณจะพบว่า เงินที่คุณใช้ไป ทำให้คุณค่าของตัวเองเพิ่มขึ้น คุณได้คืนกลับมาหลายเท่า

เมื่อก่อนคนพูดกันว่า… ปลาเล็กกินปลาใหญ่ ตอนนี้ต้องเปลี่ยนเป็นปลาเร็วกินปลาช้า

สิ่งใหม่ ๆ ที่ปรากฏขึ้น มักมาพร้อมกับโอกาสทางธุรกิจ แต่เมื่อโอกาสผ่านไป คนที่ช้าก็จะไม่มีทางได้สัมผัส

ในยุคนี้ รีบค้นหา และ แก้ไข้ ข้อบกพร่องของตัวเองอย่างทันท่วงที เพื่อที่จะพัฒนาต่อไปในทิศทางที่ดียิ่งขึ้น

ไม่อย่างนั้น 3 ปีผ่านไป คุณจะพบว่า คุณถูกคนอื่นๆทิ้งไว้ข้างหลังแล้ว

ตัวอย่างที่หยิบยกมานั้น ไม่ได้เจาะจงถึงอาชีพใด เพราะ ทุกอาชีพล้วนมีโอกาสตกงานได้ทั้งนั้น

ทัศนะคติที่คุณมีต่อการใช้ชีวิต จะเป็นสิ่งตัดสินว่า คุณจะถูกแทนที่ หรือ ได้ไปต่อ

 

แหล่งที่มา : bitcoretech.com

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.